คำชี้แจง ให้นักศึกษาวิเคราะห์ข่าวเกี่ยวกับการขัดแย้งของพระที่เกิดขึ้นในสภาพปัจจุบัน อาทิ พระธรรมกาย
ยกสุดท้ายธรรมกาย เดิมพันความเชื่อมั่น คสช.
25 กุมภาพันธ์ 2560 เวลา 13:32 น.
ต้องถือว่าเป็น “ยกสุดท้าย” กับการบุกค้นวัดพระธรรมกายเพื่อติดตามตัว
พระเทพญาณมหามุนี หรือธัมมชโย มาดำเนินคดีรอบนี้ ซึ่งรัฐบาลคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)
ส่งสัญญาณ เอาจริงหวัง “ปิดเกม” ให้ได้โดยเร็ว หลังจากดึงเกมยื้อมานานพอสมควร
ครั้งนี้ถึงขั้น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช.ออกคำสั่งอาศัยอำนาจตามมาตรา 44 ประกาศให้พื้นที่วัดพระธรรมกายเป็นเขตพื้นที่ควบคุมอำนวยความสะดวกให้เข้าไปตรวจค้น พร้อมประกาศว่าจะไม่ยกเลิกคำสั่งจนกว่าจะนำตัวผู้กระทำความผิดมาดำเนินคดี ปัญหาส่วนหนึ่งอยู่ตรงที่บรรดาศิษยานุศิษย์ที่ออกมาแสดงพลังปกป้องขัดขวางเข้าตรวจค้นของเจ้าพนักงาน จนนำไปสู่การปะทะทำให้เจ้าหน้าที่ไม่อาจผลีผลามเข้าไปปูพรมตรวจค้นในพื้นที่กว่า 2,000 ไร่ ได้อย่างที่ควรจะเป็น
ครั้งนี้ถึงขั้น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช.ออกคำสั่งอาศัยอำนาจตามมาตรา 44 ประกาศให้พื้นที่วัดพระธรรมกายเป็นเขตพื้นที่ควบคุมอำนวยความสะดวกให้เข้าไปตรวจค้น พร้อมประกาศว่าจะไม่ยกเลิกคำสั่งจนกว่าจะนำตัวผู้กระทำความผิดมาดำเนินคดี ปัญหาส่วนหนึ่งอยู่ตรงที่บรรดาศิษยานุศิษย์ที่ออกมาแสดงพลังปกป้องขัดขวางเข้าตรวจค้นของเจ้าพนักงาน จนนำไปสู่การปะทะทำให้เจ้าหน้าที่ไม่อาจผลีผลามเข้าไปปูพรมตรวจค้นในพื้นที่กว่า 2,000 ไร่ ได้อย่างที่ควรจะเป็น
ทางฝั่งเจ้าหน้าที่รัฐเข้าใจความสุ่มเสี่ยงพยายามหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดการกระทบกระทั่งที่จะไปเข้าทางผู้ที่ต้องการให้ความรุนแรง
เพื่อลดทอนความชอบธรรมการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่
ทำให้ที่ผ่านมาพยายามลดความสุ่มเสี่ยงได้ แต่ปักหลักอยู่บริเวณพื้นที่นอกวัด
ไม่ต่างจากช่วงก่อนหน้านี้ที่ได้แต่ดูเชิงขอหมายค้น หมายจับ
นวดกันอยู่หลายรอบ
จนเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ถึงประสิทธิภาพในการทำงานของเจ้าหน้าที่กับการบังคับใช้กฎหมายจนไม่อาจ “ยื้อ” ต่อไปได้อีก กลายเป็นแรงบีบให้ภาครัฐต้องออกมาเร่งปิดเกมและนำมาสู่การปฏิบัติการบุกค้นครั้งนี้
แน่นอนว่าการดำเนินการครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย
แม้จะมีสัญญาณไฟเขียวพร้อมอำนาจพิเศษเรียบร้อย
เพราะบรรดาศิษยานุศิษย์ทั้งที่ปักหลักคอยทำหน้าที่เป็นโล่มนุษย์อยู่ภายในวัดและยังมีความพยายามระดมเข้ามาเสริมทีมเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
ซึ่งเวลานี้กำลังเปิดหน้าเรียงแท่งปูนตั้งแนวรับอย่างขันแข็ง
ทางเจ้าหน้าที่เองย่อมปฏิบัติการตามหลักสากลเพื่อไม่ให้เกิดปัญหา
เริ่มจากการเจรจาเพื่อเข้าไปตรวจค้นอย่างละเอียด ซึ่งผลการเจรจาก็ออกมาอย่างที่คาด
พระสนิทวงศ์ วุฑฒิวังโส ผู้อำนวยการสำนักสื่อสารองค์กรวัดพระธรรมกาย
ประกาศชัดเจนไม่ยินยอมให้เจ้าหน้าที่เข้าไปภายในวัดอีก
เนื่องจากตรวจค้นวัดเสร็จสิ้นแล้ว “วัดให้ความร่วมมือมาตลอด
แต่เนื่องจากวัดนี้ถูกสร้างขึ้นมาด้วยมือญาติโยม
หากจะบอกว่าพวกเขาไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับทางวัด
และจะให้ออกนอกพื้นที่ พวกเขาจึงมองว่าไม่ถูกนัก
ที่ผ่านมาทางเจ้าหน้าที่เองก็เข้าตรวจค้นในทุกพื้นที่แล้ว
ถือว่าเสร็จสิ้นแล้วก็ควรจะยกเลิกมาตรา 44 ได้แล้ว” พระสนิทวงศ์ กล่าว
สัญญาณตรงนี้ทำให้เชื่อได้ว่าปฏิบัติการนับจากนี้คงจะเต็มไปด้วยความยากลำบากและเปราะบาง
ดังจะเห็นจากรัฐบาลพยายามใช้มาตรการกดดันด้านอื่นๆ
ทั้งแนวคิดที่เตรียมจะตัดน้ำตัดไฟ ไปจนถึงกรณี สุรชัย ขันอาสา ผวจ.ปทุมธานี
มีหนังสือด่วนอาศัยอำนาจตามคำสั่งหัวหน้า คสช. และมาตรา 44 เรียกนายกเทศมนตรี รองนายกเทศมนตรี
เมืองท่าโขลง อ.คลองหลวง นายก อบต.คลองสาม สมาชิก อบต.คลองสาม กำนันตำบลคลองสาม
และผู้ใหญ่บ้านหมู่ 7 มาเป็นทีมเสริม
ทางด้าน พ.ต.ต.สุริยา สิงหกมล
รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ)
ออกมาระบุว่าอาจเข้าตรวจค้นภายในพื้นที่วัดบริเวณโซนเอและบีอีกครั้ง
แต่คงไม่เสร็จภายในวันเดียว
ปฏิบัติการครั้งนี้จึงมีแนวโน้มยืดเยื้อและใช้เวลาอีกพอสมควร
แต่ทั้งหลายทั้งปวงนี่ถือเป็นเดิมพันและบทพิสูจน์ฝีมือครั้งสำคัญของ
คสช.ว่าจะสามารถติดตามตัวผู้ต้องหามาดำเนินคดีได้อย่างที่สังคมคาดหวังและกำลังจับตาหรือไม่
ประการแรกเพราะครั้งนี้รัฐบาล คสช.ประกาศเอาจริงถึงขั้นใช้มาตรา 44 เข้ามาอำนวยความสะดวก
พร้อมส่งกำลังเจ้าหน้าที่หลายร้อยคนเข้าร่วมปฏิบัติการติดตามตัว
ต่างจากที่ผ่านมาที่มีความเป็นห่วงกลัวการกระทบกระทั่งจนมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์กลัวจะเป็นมวยล้มต้มคนดูเสียมากกว่า
ประการต่อมาหากไม่สามารถจับกุมตัวพระธัมมชโยมาดำเนินคดีได้ย่อมสั่นคลอนกระบวนการยุติธรรมทั้งระบบ
ตอกย้ำปัญหาที่เรียกร้องให้เกิดการปฏิรูปตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ
เมื่อเวลานี้รัฐบาล คสช.มีอำนาจเต็มอยู่ในมือ
การดำเนินการจัดการย่อมได้เปรียบกว่าทุกรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นอำนาจ
เครื่องไม้เครื่องมือรวมไปถึงเจ้าหน้าที่ ดังนั้น
หากปฏิบัติการครั้งนี้ไม่สำเร็จย่อมต้องโดนถล่มไปตามลำดับตั้งแต่ คสช.ไล่มาจนถึงหน่วยข่าวขาดประสิทธิภาพ
ไม่อาจติดตามตัวคนคนเดียวมาดำเนินคดี ซึ่งเป็นบุคคลที่เป็นที่รู้จัก
ยากจะหลบหนีไปกลบดานที่ไหน หรือหนีออกนอกประเทศ
สอดรับกับกระแสวิพากษ์วิจารณ์เรื่องแผนการ
ซึ่งต้องการเปิดช่องให้การหลบหนีหลีกเลี่ยงการปะทะ หรือลุกฮือของลูกศิษย์ที่จะออกมาเคลื่อนไหวกดดันให้เกิดการปล่อยตัวในอนาคต
แถมยังอาจใช้โอกาสอึมครึมระหว่างการติดตามตัวพระธัมมชโยเข้าไปตรวจค้นภายในวัด
และสลายเครือข่ายที่มาการจัดตั้งเหนียวแน่นให้อ่อนกำลังลงไปจนไม่อาจกลับมาสร้างแรงเสียดทานให้
คสช.ในอนาคต ผลของการติดตามตัวพระธัมมชโยมาดำเนินคดีในรอบนี้ จึงถือเป็น “เดิมพัน” สำคัญที่จะชี้วัดความเชื่อมั่นที่มีต่อ
คสช.ในเวลานี้ที่จะส่งผลไปถึงอนาคต
วิเคราะห์ข่าว “ยกสุดท้ายธรรมกาย เดิมพันความเชื่อมั่น คสช.”
คสช. มีการใช้มาตรการ 44 ที่เป็นมาตรการเด็ดขาด
เพื่อปิดเกมในการติดตามตัวพระธัมมชโยมาดำเนินคดี สาเหตุที่ คสช. ต้องใช้มาตรการ 44
นี้ก็เพราะว่าพระธัมมชโย
ซึ่งผู้ต้องหาตามหมายจับในคดีร่วมกันฟอกเงินและรับของโจรจากสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น 1,400
ล้านบาทไม่ยอมมามอบตัว
อีกทั้งพระธัมมชโยยังให้ศิษยานุสิษย์ออกมาแสดงพลังปกป้องเพื่อขัดขวางเจ้าหน้าที่
และขัดขืนเจ้าหน้าที่จนทำให้เกิดปัญหาและอุปสรรคในการติดตามตัวพระธัมมชโย
ทำให้คดียืดยื้อและทำให้คดีจับกุมตัวพระธัมมชโยสั่นคลอนกระบวนการยุติธรรม
หากว่าการจับตัวพระธัมมชโยครั้งนี้ไม่สำเร็จก็ย่อมบ่งบอกถึงประสิทธิภาพในการทำงานของคสช.
หน่วยข่าวที่ขาดประสิทธิภาพในการทำงาน
จากข่าว“ยกสุดท้ายธรรมกาย เดิมพันความเชื่อมั่น คสช.” ดิฉันคิดว่าต้นเหตุเกิดจากบุคคลเดียวที่ทุจริตและหนีคดี
สร้างความเชื่อผิดๆให้ศิษยานุศิษย์ให้ออกมาขัดขวางการทำงานและยื้อเจ้าหน้าที่เอาไว้
และสร้างความเชื่อผิดๆไว้กับ คสช. จนส่งผลให้คดียืดยื้อไม่จบสิ้น
พระธัมมชโยยังความเดือดร้อนแก่ประเทศไทย
พระธัมมชโยเป็นพระที่)ฏิบัติผิดในกฎระเบียบวินัยของพระ เป็นตัวอย่างที่ไม่ดีของพระ
อีกทั้งยังสร้างความเสื่อมในวงการพระและสร้างความเสื่อมเสียให้กับชาวไทยอีกด้วย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น