วันพุธที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2560

อนุทินที่ 7 คำถาม


คำถาม

ตอบคำถามต่อไปนี้ (1-3 พ.ร.บ.ภาคบังคับ, 4 พ.ร.บ.บริหารราชการกระทรวงศึกษาธิการ) ลงในบล็อกของนักศึกษา

1.เหตุผลทำไมต้องประกาศพระราชบัญญัติการศึกษาภาคบังคับ พ.ศ. 2545

ตอบ    เป็นพระราชโองการโปรดเกล้าฯของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ซึ่งพระราชบัญญัตินี้มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล ซึ่งมาตรา 29ประกอบกับมาตรา 35และมาตรา 50 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย บัญญัติให้กระทำได้โดยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย เหตุผลที่ต้องมีการประกาศพระราชบัญญัติการศึกษาภาคบังคับ พ.ศ. 2545 เพราะว่ากฎหมายว่าด้วยการศึกษาแห่งชาติได้กำหนดให้บิดา มารดาหรือผู้ปกครองมีหน้าที่จัดให้บุตรหรือบุคคลซึ่งอยู่ในความดูแลได้รับการศึกษาภาคบังคับจำนวน 9 ปีโดยให้เด็กซึ่งมีอายุย่างเข้าปีที่ 7 เข้าเรียนในสถานศึกษาขั้นพื้นฐานจนอายุย่างเข้าปีที่ 16 เว้นแต่การสอบได้ชั้นปีที่ 9 ของการศึกษาภาคบังคับ จึงสมควรปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยการประถมศึกษาเพื่อให้เหมาะสมและสอดคล้องกับกฎหมายดังกล่าว จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้

2.ท่านเข้าใจความหมายตามพระราชบัญญัติการศึกษาภาคบังคับ พ.ศ. 2545 อย่างไร

   ก. ผู้ปกครอง   ข.เด็ก   ค.การศึกษาภาคบังคับ   ง. องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น

ตอบ        ก. ผู้ปกครอง   หมายถึง บิดามารดา หรือบิดา หรือมารดา ซึ่งเป็นผู้ใช้อำนาจการปกครองหรือผู้ปกครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และหมายความรวมถึงบุคคลที่เด็กอยู่ด้วยเป็นประจำหรือที่เด็กอยู่รับการใช้งาน
                ข.เด็ก  หมายความว่า เด็กซึ่งมีอายุย่างเข้าปีที่เจ็ดจนถึงอายุย่างเข้าปีที่สิบหก เว้นแต่เด็กที่สอบได้ชั้นปีที่เก้าของการศึกษาภาคบังคับแล้ว
                ค.การศึกษาภาคบังคับ  หมายความว่า การศึกษาชั้นปีที่หนึ่งถึงชั้นปีที่เก้าของการศึกษาขั้นพื้นฐานตามกฎหมายว่าด้วยการศึกษาแห่งชาติ
                ง. องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หมายความว่า องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีสถานศึกษาอยู่ในสังกัด

3. กรณีผู้ปกครองไม่ส่งเข้าเรียนตามที่กฎหมายฉบับนี้กำหนดจะต้องถูกลงโทษอย่างไร และถ้าเด็กไม่สามารถเข้ารับการศึกษาใครจะเป็นผู้มีอำนาจในการผ่อนผันเด็กเข้าเรียน

ตอบ      กรณีผู้ปกครองไม่ส่งเข้าเรียนตามที่กฎหมายฉบับนี้กำหนดจะต้องถูกลงโทษคือ
มาตรา 13 ผู้ปกครองที่ไม่ส่งเด็กเข้าเรียนตามที่กฎหมายกำหนดจะต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท
มาตรา 15 ผู้ใดโดยปราศจากเหตุอันสมควร กระทำด้วยประการใดๆอันเป็นเหตุให้เด็กมิได้เรียนในสถานศึกษาตามพระราชบัญญัติ ต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท
                ดังนั้นถ้าเด็กไม่สามารถเข้ารับการศึกษา ผู้ปกครองจะต้องร้องขอให้สถานศึกษามีอำนาจผ่อนผันเด็กเข้าเรียนก่อนและหลังตามอายุเกณฑ์ตามการศึกษาภาคบังคับได้

4. ให้นักศึกษาสรุปประเด็นสำคัญที่ได้จากการอ่านพระราชบัญญัติระเบียบบริหาร ราชการกระทรวงศึกษาธิการ
ตอบ     ประเด็นที่ได้สรุปประเด็นสำคัญที่ได้จากการอ่านพระราชบัญญัติระเบียบบริหาร ราชการ กระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ. 2546
                เหตุผลที่ใช้กฎกระทรวงฉบับนี้เพราะมาจากการสรรหาและการเลือกประธานกรรมการและกรรมการในคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานตามกฎกระทรวงกำหนดจำนวนกรรมการ คุณสมบัติ หลักเกณฑ์และวิธีการสรรหาการเลือกประธานกรรมการและกรรมการ วาระการดำรงตำแหน่งและการพ้นจากตำแหน่งของกรรมการในคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ.2546 ยังไม่สอดคล้องกับหลักความรับผิดชอบและประสิทธิภาพในการบริหารจัดการ ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการได้ออกกฎกระทรวงไว้ดังต่อไปนี้
ข้อ 1 ให้ยกเลิกกฎกระทรวงกำหนดการ คุณสมบัติ หลักเกณฑ์และวิธีการสรรหาการเลือกประธานกรรมการและกรรมการ
ข้อ 2 ในกฎกระทรวงนี้ได้ให้คำนิยามของ กรรมการ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น องค์กรวิชาชีพ องค์กรเอกชน
ข้อ 3 คณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานมีกรรมการไม่เกิน 27 คนซึ่งประกอบไปด้วย
                1.ประธานกกรมการ
                2. กรรมการโดยตำแหน่ง 9 คน คือ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เลขาธิการสภาการศึกษา เลขาธิการคณะกรรมการอุดมศึกษา เลขาธิการคณะกรรมการอาชีวศึกษา เลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการครู ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา และผู้อำนวยการสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา
                3. กรรมการที่เป็นผู้แทนองค์กรเอกชน 1 คน
                4. กรรมการที่เป็นผู้แทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 1 คน
                5. กรรมการที่เป็นผู้แทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 1 คน
                6. กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ไม่เกิน 13 คน
                7. เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน เป็นกรรมการและเลขานุการ
ข้อ 4 ประธานกรรมการและกรรมการตามข้อ 3(3) (4) (5)และ (6) ต้องมีคุณสมบัติ คือ สัญชาติไทย อายุไม่ต่ำกว่า 15 ปีบริบูรณ์ ไม่เป็นบุคคลล้มละลาย ไม่เป็นบุคคลไร้ความสามารถ ไม่เคยเสียประวัติเสื่อมเสียทางจริยธรรมและการประกอบวิชาชีพ ไม่เคยจำคุกเว้นแต่โทษความผิดที่กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ ไม่เป็นคู่สัญญาได้เสียหรือมีผลประโยชน์โดยตรงในกิจการที่เกี่ยวข้องกรรมสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ไม่เป็นประธานนกกรมการหรือกรรมการในคณะกรรมการสภาการศึกษา คณะกรรมการการอุดมศึกษา คณะกรรมการการอาชีวศึกษา คณะกรรมการข้าราชการครู คณะกรรมการคุรุสภา หรือคณะกรรมการหรือบุคลากรทางการศึกษาเกินกว่าหนึ่งคณะ
ข้อ 5 การสรรหาและเลือกประธานกรรมการตามข้อ 3 (3) (4) (4) (5)และ (6)มีหลักเกณฑ์ดังนี้
                1. สรรหาและเลือกผู้แทนองค์กรเอกชน ผู้แทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและผู้แทนองค์กรวิชาชีพโดยองค์กรเอกชนดำเนินงานไม่น้อยกว่า 2 ปี ซึ่งสภาองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานและองค์กรวิชาชีพเสนอชื่อผู้เห็นสมควรที่จะเป็นกรรมการและต้องมีคุณสมบัติตามข้อ 4
                2. การสรรหาและเลือกกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ให้สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาทุกแห่งเสนอชื่อมาและต้องมีคุณสมบัติตามข้อสี่ แห่งละ 1 คน และให้พระมหาเถรสมาคมเสนอชื่อภิกษุที่เก่งทางด้านพระพุทธศาสนา 1 รูป ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เลขาธิการ เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษาและกรรมการสรรหาผู้ทรงคุณวุฒิที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการแต่งตั้ง 2 คนร่วมสรรหาผู้ที่มีความสามารถตามข้อ 3(6)และมีคุณสมบัติตามข้อ 4
                3. การสรรหาและเลือกประธานกรรมการ โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเลือกประธานกรรมการ
ข้อ 6 หลักเกณฑ์ วิธีการสรรหาและเลือกประธานกรรมการและกรรมการให้เป็นไปตามกฎกระทรวงและประกาศของเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน
ข้อ 7 ประธานกรรมการและกรรมการตามข้อ 3(3) (4) (5)และ (6) มีวาระคราวละ 4ปี
ข้อ 8 นอกจากการพ้นจากตำแหน่งวาระ ประธานกรรมการและกรรมการตามข้อ 3 (3) (4) (5)และ (6) พ้นจากตำแหน่งเมื่อตาย ลาออก คณะรัฐมนตรีให้ออก ขาดคุณสมบัติตามข้อ 4 และพ้นจากการเป็นพระภิกษุ
ข้อ 9 ถ้าประธานกรรมการหรือกรรมการตามข้อ 3(3) (4) (5)และ(6) พ้นจากตำแหน่งก่อนครบวาระ ให้สรรหา เลือกและแต่งตั้งประธรมกรรมการหรือกรรมการแทนภายใน 10 วันนับตั้งแต่วันนี้ผู้นั้นพ้นตำแหน่ง
ข้อ 10 ในวาระเริ่มแรกให้ดำเนินการการสรรหา เลือก และแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการตามข้อ 3(3) (4) (5)และ (6) ให้เสร็จแล้วภายใน 180 วันนับตั้งแต่วันที่กฎกระทรวงมีผลบังคับใช้



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น